วิกฤตการเงินโรงพยาบาลขอนแก่น สัญญาณเตือนของระบบสุขภาพที่กำลังป่วย

โรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่และเป็นเสาหลักของระบบสาธารณสุขภาคอีสาน กำลังเผชิญภาวะการเงินที่น่ากังวล ข้อมูลวันที่ 30 กันยายน 2568 ระบุว่า โรงพยาบาลมีเงินสดเพียง 178.91 ล้านบาท แต่มีหนี้สินสูงถึง 1,430.98 ล้านบาท เมื่อหักลบกันแล้ว “เงินบำรุงคงเหลือ” ติดลบถึง 1,252.07 ล้านบาท ขณะเดียวกัน รายรับในเดือนเดียวอยู่ที่ 122 ล้านบาท แต่รายจ่ายพุ่งไปกว่า 194 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่กำลังใช้เงินมากกว่าที่หาได้ในทุกเดือน
ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของโรงพยาบาลขอนแก่น หากแต่เป็นภาพสะท้อนของระบบสุขภาพไทยที่กำลังมีรอยร้าวเชิงโครงสร้าง โรงพยาบาลของรัฐส่วนใหญ่ต้องพึ่งพางบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือระบบ “บัตรทอง” ซึ่งเป็นงบแบบเหมาจ่าย (fixed budget) ที่กำหนดวงเงินล่วงหน้า แม้จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้น ต้นทุนยาและเวชภัณฑ์จะสูงขึ้น หรือเครื่องมือแพทย์ต้องซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง แต่รายได้ที่ได้รับกลับไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง ส่งผลให้โรงพยาบาลต้องบริหารเงินในกรอบที่เล็กลงทุกปี
ในขณะที่รายได้คงที่ รายจ่ายกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าจ้างบุคลากร ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ และค่าพลังงาน รวมถึงภาระจากผู้ป่วยนอกเขตที่เดินทางมารักษาหลังโควิด ซึ่งไม่ได้รับการชดเชยเต็มจำนวน ช่องว่างทางการเงินจึงขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนหลายโรงพยาบาลเริ่มประสบปัญหาสภาพคล่อง
เมื่อสถานการณ์เริ่มวิกฤต กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เข้ามาอัดฉีดเงินเสริมสภาพคล่องชั่วคราวกว่า 300 ล้านบาท เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถดำเนินงานต่อไปได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขเห็นตรงกันว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเพียงการ “ประคองลมหายใจ” ของระบบในระยะสั้น ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะเมื่อใช้เงินกู้เพื่อจ่ายรายจ่ายปัจจุบัน วงจรหนี้ก็จะกลับมาอีกครั้งในไม่กี่เดือนข้างหน้า
สิ่งที่เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลขอนแก่นในวันนี้ จึงเป็นสัญญาณเตือนของระบบสุขภาพไทยทั้งระบบ ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขชี้ว่า ปัจจุบันมีโรงพยาบาลของรัฐกว่า 300 แห่งทั่วประเทศที่อยู่ในภาวะเงินบำรุงติดลบ หรือมีเงินสดหมุนเวียนไม่ถึงหนึ่งเดือน ซึ่งหมายความว่าหากไม่มีการอุดหนุนหรือปรับระบบงบประมาณใหม่ หลายแห่งอาจไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติในอนาคตอันใกล้
ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขในงบการเงิน แต่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการรักษาและชีวิตของบุคลากรในโรงพยาบาล เมื่อสภาพคล่องตึง บุคลากรต้องทำงานหนักขึ้นภายใต้ทรัพยากรที่ลดลง การซ่อมบำรุงเครื่องมือถูกเลื่อน การสั่งซื้อเวชภัณฑ์ต้องประหยัดกว่าที่ควร และเมื่อภาระงานสูงขึ้นท่ามกลางงบจำกัด คุณภาพการดูแลผู้ป่วยก็ย่อมได้รับผลกระทบโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
วิกฤตที่โรงพยาบาลขอนแก่นเผชิญอยู่ในวันนี้ จึงไม่ควรถูกมองว่าเป็นปัญหาเฉพาะจุด แต่คือภาพสะท้อนของระบบงบประมาณด้านสุขภาพที่ไม่ยั่งยืน และต้องการการปฏิรูประดับโครงสร้างอย่างเร่งด่วน ทั้งในด้านการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง การสร้างระบบบัญชีและข้อมูลการเงินที่โปร่งใส และการเพิ่มอิสระให้โรงพยาบาลบริหารเงินบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้กลไกตรวจสอบที่เข้มแข็ง
กรณีของโรงพยาบาลขอนแก่นจึงไม่ใช่เพียง “วิกฤตของจังหวัดหนึ่ง” แต่เป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของระบบสาธารณสุขไทยในปี 2568 ว่าจำเป็นต้องได้รับการทบทวนเชิงโครงสร้างโดยเร่งด่วน เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบสุขภาพทั้งประเทศ ก่อนที่ปัญหาทางการเงินจะลุกลามกลายเป็นวิกฤตความเชื่อมั่นในที่สุด

Share :