
แก… วันนี้ความคิดถึง มันพาฉันมาถึงโนนศิลา อำเภอบ้านเกิดของแก ที่แกชอบบ่นกับฉันว่า โนนศิลามันไม่มีอะไรหรอก แต่แกรู้ไหม เวลาที่ได้มาเยือนเมืองเงียบ ๆ ท่ามกลางผู้คนที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ในบรรยากาศโล่ง ๆ กว้าง ๆ แบบนี้ อย่างน้อยที่สุดมันก็ช่วยกระจายความวุ่นวายที่อัดแน่นในหัวฉันให้คลายลงบ้าง จนดูเหมือนว่าเรื่องหนักหนาพวกนั้น มันกลายเป็นเรื่องเล็กลงไปถนัดตาเลยนะ

ปลายฤดูฝนแบบนี้ โนนศิลาบ้านแกระบายสีเขียวด้วยต้นข้าวในท้องนาแล้วนะ มองดูแล้วสดชื่นมาก สิ่งแรกที่คนชอบกินอย่างฉันคิดถึง ก็คือกลิ่นหอมของใบกะเพราหมู่บ้านโนนแดง นี่จำได้เหมือนเรื่องเพิ่งเกิดเมื่อวาน ที่แกเล่าถึงกะเพราโนนศิลา บ้านแกว่าหอมฉุนกว่าที่ไหน ๆ แล้วฉันหัวเราะค่อนแคะหาว่าแกโม้ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนต่อหลักฐาน หลังจากลองซื้อใบกะเพราจากชาวบ้านมาทำกับข้าวกิน จนต้องเก็บปากเก็บคำไม่กล้าเถียงแกอีกต่อไป มิน่า ร้านสะดวกซื้อเจ้าใหญ่ในประเทศเรา เขาเลยทำสัญญากับชาวบ้านให้ขายกะเพราขาวจากโนนศิลาส่งเขาเท่านั้น เพื่อเอาไปทำข้าวกะเพรากล่องขาย แถมให้ราคาใบกะเพราสูงกิโลกรัมละเป็นร้อยกว่าบาทโน่น




แม้ว่าฉันจะไม่สามารถซื้อใบกะเพราขาวโนนศิลามาครอบครองได้เพราะชาวบ้านติดสัญญากับบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ยังไงส่วนตัวฉันก็ยังชอบ “กะเพราแดง” พันธุ์พื้นบ้านที่ชาวบ้านปลูกไว้ขายกันเองมากกว่าอยู่ดี ใบใหญ่สีเขียว ก้านใบสีแดง กลิ่นหอมฉุนเฉียว ที่ตอนนั้นพวกเราซื้อไปผัดกะเพรากินทันทีที่บ้านแกไง มันคือเทพแห่งใบกะเพราจริง ๆ เพราะนอกจากความหอมแล้ว ยังจะมีรสเย็นในช่องปากให้อารมณ์เหมือนอย่างกับกำลังเคี้ยวใบมินต์กินอย่างไรอย่างนั้น
เอ้อ วันนี้ฉันไปเจอร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ ตรงซอยหลังธนาคาร ธกส.โนนศิลา ด้วยนะ ร้านเขาเล็กแต่ทำอาหารอร่อย และสะอาดสะอ้านดีเชียว ชื่อ ร้านแม่ทิพย์ตามสั่ง เพิ่งมาเปิดได้ไม่นาน ฉันก็เลยลองสั่งผัดกะเพราหมูกรอบมากิน ตัวหมูกรอบไม่เท่าไรนะ แต่ผัดกะเพรานี่ผัดมาแบบแห้ง ๆ เหมือนที่แกชอบกินเลย ปรุงรสชาติเข้มข้น และแน่นอนเขาใช้ใบกะเพราโนนศิลา มันฟินมาก กินกะเพราแห้ง ๆ แบบนี้แล้วคิดถึงแกว่ะ ถ้าแกยังอยู่ รู้เลยว่าต้องโป๊ะไข่ดาวขอบกรอบ ๆ แต่ไข่แดงเยิ้ม ๆ เพิ่มด้วยแน่ ๆ



เช้า ๆ ตรงถนนใกล้กับสถานีรถไฟบ้านหัน ยังมีรถสองแถวรับส่งเด็กนักเรียนเหมือนเดิม จำได้ไหมที่ฉันเคยบอกว่าอิจฉาแกที่ได้นั่งรถเข้าไปเรียนในเมือง แต่แกกลับบอกฉันว่า ‘มันเหนื่อยจะตาย’ ก็อย่างว่านะ คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ไอ้ฉันเองที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ได้แต่นึกอยากลองโหนท้ายรถเท่ ๆ หรือ ปีนไปนั่งบนหลังคาแบบเด็กภูธรอย่างแกดูบ้าง วันนี้เลยขอพี่เจ้าของรถไปนั่งเล่นทำคอนเทนต์ตรงท้ายรถสักหน่อย

ฉันตั้งใจจะขับรถต่อไปเที่ยวเจดีย์สีทอง ของวัดสว่างน้ำใสวังยาว ตรงบ้านวังยาวที่แกเคยพาฉันขับมอเตอร์ไซค์ไปดูนั่นแหละ จำได้ว่ามันไกลมากจากสถานีรถไฟ มาครั้งนี้ก็ยังรู้สึกใกลอยู่ดี แต่ฉันหลงไหลเสน่ห์ของถนนสายนี้นะ มันเป็นถนนชนบทที่ทอดยาวเหมือนภาพเขียน อดใจไม่ไหวจนต้องจอดรถแล้วลงไปเดินเล่น ระหว่างทางได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนชาวบ้าน มีแม่ป้ามาปิ้งย่างอาหารขาย ส่งกลิ่นหอมพร้อมควันจาง ๆ สร้างบรรยากาศยามเช้าของโนนศิลาให้ดูมีเสน่ห์ แล้วก็ไม่ค่อยมีรถวิ่งวุ่นวาย สองข้างทางยังเป็นป่าอ้อย ป่ามัน เป็นทุ่งโล่ง ๆ เหมือนเมื่อก่อนที่แกพาฉันมาเที่ยว

วันนี้ฉันแกล้งจอดรถไว้กลางทาง แล้วขอโบกรถอีแต๊กของชาวบ้านแถวนั้นทำคอนเทนต์ด้วยนะแก ให้ฟีลเหมือนโบกรถเที่ยวเหมือนสมัยที่พวกเราเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ชีวิตช่วงนั้นสนุกมากเลยเนอะ แต่ท้ายที่สุดฉันก็ลงจากรถอีแต๊กกลับมาขับรถไปวัดเหมือนเดิม เพราะขืนติดรถชาวบ้านไป ขากลับจากวัด คงจะหาทางกลับเองลำบาก
แกเชื่อไหมว่าป้ายซุ้มประตู “ยินดีต้อนรับ” ที่ยังเขียนว่าโนนศิลาเป็นกิ่งอำเภอ ที่ตั้งอยู่กลางทางระหว่างไปวัด มันยังอยู่เลยนะเว้ย ฉันว่าดีนะ เหมือนเป็นเศษเสี้ยวประวัติศาสตร์ที่เก็บเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดู ถึงการพัฒนาของเมืองก่อนที่โนนศิลาจะพัฒนาขึ้นมาเป็นอำเภออย่างทุกวันนี้
หมู่บ้านตรงช่วงหน้าวัดก็ยังมีบ้านคนอีสานยกใต้ถุนสูงให้เห็นประปราย ชาวบ้านยังปลูกดอกไม้ไว้หน้าบ้าน ฉันไปถึงเจดีย์สีทองตั้งแต่เช้า สีทองกับแสงตอนเช้ามันอะร้าอร่ามแสบตามากเลยแก แต่วันธรรมดาแบบนี้ ไม่มีคนเยอะเหมือนตอนที่แกพามาในช่วงเทศกาลงานบุญที่เขาจะรำบวงสรวงกัน ฉันก็เลยได้แค่เดินรอบ ๆ ถ่ายภาพ ไหว้พระแบบเหงา ๆ เพราะครั้งนี้ฉันมาคนเดียว ไม่มีทั้งงานเทศกาล และไม่มีแกอยู่ด้วยเหมือนเดิม



กลับออกมาจากเจดีย์วัดสว่างน้ำใสวังยาว กลางทางฉันยังไม่พลาดแวะดูผ้าไหมของกลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหนองแวงทอแสงผีเสื้อ ด้วยนะ แกจำได้ไหมสมัยก่อนที่เรามาแล้วมีกลุ่มทอผ้าของ แม่บุญสารหอมทอง มันคืออันเดียวกันนั่นแหละ มีช่วงหนึ่งเขาปิดไปเพราะไม่มีคนทำงานประสานงาน แต่ตอนนี้มีคนในหมู่บ้านรุ่นลูกคือ แม่ทองปิ่นมาบุดดา ประธานกลุ่ม เขาชวนแม่ ๆ ป้า ๆ ในหมู่บ้านหนองแวง ต.บ้านหัน มาช่วยกันเริ่มสานต่องานปลูกหม่อนเลี้ยงไหม มัดหมี่ ทอผ้าไหมกันอีกรอบ

ฉันว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากเลยนะ เพราะนอกจากชาวบ้านจะอนุรักษ์สายพันธุ์ตัวไหมเก่าแก่ของคนอีสานอย่าง “ตัวไหมสายพันธุ์นางน้อย” เอาไว้แล้ว พวกเขายังปรับจากการย้อมเส้นไหมด้วยสีเคมี มาเป็นการใช้สีธรรมชาติด้วย แม่ทองปิ่นเล่าให้ฟังว่าเป็นการสนับสนุนจากพัฒนาชุมชนของอำเภอ ให้พวกชาวบ้านได้ไปเรียนรู้การย้อมสีเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติที่อุตสาหกรรมภาค 5 ในจังหวัดขอนแก่น มีทั้งย้อมสีจากใบสาบเสือ ย้อมโคลน ย้อมครั่ง แก่นยอ แก่นฝาง ลูกหว้า แล้วก็อีกสารพัดพืชพรรณท้องถิ่นที่หากันได้ในพื้นที่ ทำให้ผ้าไหมของบ้านหนองแวงตอนนี้ มีสีพาสเทลสวย แถมยังสวมใส่ได้แบบปลอดภัยไม่ระคายผิวจากสารเคมี และกลุ่มช่างย้อมช่างทอผ้ายังมีสุขภาพดีกันขึ้นด้วยนะแก แล้วชาวบ้านเขาก็ยังมัดหมี่ผ้าไหมเป็นลายผีเสื้อหนอนไหม ทำเป็นลวดลายอัตลักษณ์ของชุมชนด้วย น่ารักมาก




จำได้ว่าตอนมาเที่ยวกับแกครั้งก่อน แกเคยเล่าให้ฟังว่า ผ้าไหมอีสานที่หายากที่สุด คุณภาพดีที่สุด ต้องทอจากเส้นไหมน้อย ที่ได้จากหนอนไหมสายพันธุ์นางน้อย และต้องผ่านกรรมวิธีลอกปลอกเส้นไหมออกให้ได้เส้นที่ละเอียด ก่อนนำไปทอ ทำให้ได้ผ้าไหมสัมผัสนุ่มนิ่ม วันนี้ฉันได้เห็นและสัมผัสไหมน้อยนั้นกับตัวเองแล้ว ผ้าพันคอทั้งผืนดึงลอดรูแหวนได้สบาย หรือผ้าคลุมไหล่ทั้งผืนสามารถกำไว้หมดได้ในกำมือเดียว ตอนนี้กลุ่มแม่บ้านเขาก็ยังสานต่อและทำผ้าแบบนี้เอาไว้
แต่วันนี้ฉันเลือกซื้อผ้าพันคอจากเส้นไหมที่ไม่ลอกเปลือก หรือที่เรียกว่า “ไหมสาวเลย” ผืนสีแดงจากการย้อมครั่ง เนื้อผ้าอาจจะหยาบกว่าหน่อย แต่แม่ทองปิ่นบอกฉันว่า นั่นเป็นผ้าผืนแรกของชุมชนที่พวกเขาทอจากการฝึกย้อมเส้นไหมจากครั่ง ฉันเลยเลือกซื้อผืนผ้าแห่งประวัติศาสตร์ของชาวบ้านเอาไว้ อีกไม่นานจะหมดฝนแล้ว และปีนี้คงหนาวหน้าดู ถ้าแกยังอยู่ฉันคงซื้อผ้าพันคอฝากแกอีกผืน

แกรู้ไหมว่าสถานีรถไฟบ้านหันที่ฉันเคยจับรถไฟมาลงเพื่อมาเที่ยวบ้านแกตอนนั้น วันนี้มันเปลี่ยนไปแล้วนะเว้ย เพราะเขาสร้างใหม่ใหญ่โตเชียว ดูสะดวกสบายกันลมกันฝนได้ดีกว่าสถานีเก่าเป็นไหน ๆ แต่คนโนนศิลาเขายังอนุรักษ์สถานีรถไฟเก่ายกเอาไปตั้งไว้ตรงที่ว่าการอำเภอที่อีกฟากถนนมิตรภาพด้านโน้น เลยสามแยกที่มีต้นไทรสวย ๆ ที่แกเคยพาฉันไปถ่ายรูป แล้วก็คุยกับเหล่าผู้เฒ่าในหมู่บ้านที่มาจับกลุ่มโสเหล่กันนั่นแหละ

ฉันยังจำได้นะเว้ย ที่แกเคยเปลี่ยนวงสนทนาตอนนั้นให้กลายเป็นเลคเชอร์ย่อม ๆ เรื่องประวัติศาสตร์สถานีรถไฟบ้านหันให้ฟังอย่างภูมิใจว่า ทางรถไฟจากสถานีบ้านหัน ถึงสถานีเมืองพล เคยถูกระเบิดทิ้ง เพื่อตัดเส้นทางไม่ให้เหล่ากบฏในยุคกบฏบวรเดชมายึดจังหวัดขอนแก่นได้ สถานีรถไฟบ้านหันมีความสำคัญต่อบ้านเกิดเมืองนอนขอนแก่นขนาดนี้ ก็ไม่แปลกหรอกที่คนโนนศิลาเขาอยากจะอนุรักษ์สถานีรถไฟเก่าเอาไว้เป็นอนุสรณ์ แต่ก็เสียดายนิด ๆ นะแก ที่มันเริ่มผุพังไปบ้างแล้วตามกาลเวลา ก็อย่างว่าแหละเนอะ โลกใบนี้มันไม่มีอะไรจีรัง แม้แต่เรื่องของแกกับฉัน

เอ้อ ฉันจะบอกแกว่า ร้านยายยาส้มวัวโนนศิลา ตรงหลังป้อมตำรวจฝั่งมิตรภาพขาเข้าขอนแก่น เขายังทำขายอยู่เหมือนเดิมนะเว้ย ที่แกบอกว่าเป็นร้านส้มวัวยอดฮิตของคนโนนศิลา แล้วเคยพาฉันมาฝึกห่อส้มวัวกับเจ้าของร้านด้วยตอนนั้นไง นึกถึงแล้วก็ขำนะ จำได้ว่าห่อส้มวัวที่ฉันทำมันบูดเบี้ยวมาก จนยายยาแกบอกว่า “ห่อจั่งซี้บ่มีไผซื้อดอก” นี่วันนี้ฉันมาโนนศิลาก็มาอุดหนุนยายยาอีก เพราะจำได้ว่าส้มวัวยายยาแกอร่อยจริง ๆ แถมเนื้อแดดเดียวนี่ยิ่งเด็ดรสชาติเค็มหวานลงตัวมาก เอาไปทอดกินกับข้าวเหนียวนึ่งแล้วฟิน แล้วแกก็ยังขายราคาย่อมเยาเหมือนเก่า ที่สำคัญฉันลองขอแกห่อส้มวัวดูอีกครั้งด้วยเว้ย ฉันเชื่อว่าแกทายถูกนะ ว่าผลที่ออกมาเป็นยังไง ก็นั่นแหละ ยังบูดเบี้ยวเหมือนเดิม 555+



อีกเรื่องเล่าของแกที่ฉันจำได้ ก็คือนิทานก้อมเรื่อง น้ำผึ้งโนนศิลา ที่แก่เล่าติดตลกให้ฉันฟังขำ ๆ ว่า “น้ำผึ้งแท้ขายถูกไม่ได้เพราะน้ำตาลมันแพง” วันนี้ริมถนนมิตรภาพในเขตโนนศิลาบ้านแก โดยเฉพาะใกล้กับบ้านขอนสัก ยังมีซุ้มขายรวงผึ้ง น้ำผึ้ง และของเล่นอย่าง กังหันลม ว่าวแล้วก็ตัวต่อเงินต่อทองจำลอง เหมือนเคย

ฉันสงสัยเรื่องที่แกเล่าให้ฟังว่ามันจะจริงเท็จ ก็เลยลองจอดถามร้านขายน้ำผึ้งร้านหนึ่งแบบเปิดใจคุยกันเลย พี่เขาก็ใจดีนะกล้าเปิดข้อมูลชนเหมือนกันว่า จริง ๆ แล้ว น้ำผึ้งที่วางขายในโนนศิลาจะมีสองแบบ แบบแรกคือผสมน้ำเชื่อม แต่จะผสมในปริมาณน้อย อัตราส่วน น้ำผึ้งแท้ 80 ต่อน้ำเชื่อม 20 ซึ่งจะขายในราคาย่อมเยา กับอีกแบบถ้าอยากได้น้ำผึ้งแท้ ๆ เขาจะคั้นสด ๆ ให้จากรวงผึ้งที่ยังมีตัวอ่อนของผึ้งให้เลย อย่างหลังนี่ขายแพงหน่อย ขวดเหล้าแม่โขงนึงอาจมี 500 บาท ถ้าเป็นผึ้งหลวงก็อาจจะแพงขึ้นไปอีก



พี่เจ้าของร้านยังเล่าให้ฟังอีกนะ ว่าอาชีพการหาน้ำผึ้งป่านี่ ชาวบ้านขอนสัก อ.โนนศิลา เขาทำมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ละฤดู ก็จะมีแหล่งหาน้ำผึ้งต่างกันไป อย่างช่วงนี้ที่ฉันแวะมา เป็นน้ำผึ้งจากบุรีรัมย์ ส่วนฤดูอื่น ๆ อาจจะเป็น น้ำผึ้งจากป่าในพื้นที่ หรือ โคราช เลย ชัยภูมิ ก็ว่ากันไป ใดใดคือพี่คนขายได้ใจฉันมากที่แม่ค้ากล้าให้ข้อมูลจริงกับผู้บริโภค ยอดเยี่ยมมาก ฉันก็เลยเลือกอุดหนุนน้ำผึ้งแบบผสมมาขวดนึงเป็นการแสดงน้ำใจตอบแทน

เกือบลืมเล่าให้แกฟังว่าร้านต้นคูนลาบแซ่บ ที่แกเคยพาฉันมาปั้นข้าวเหนียวคุ้ยก้อยเนื้อและอาหารอีสานด้วยกัน เขาไม่ได้เป็นแค่เพิงริมถนนเหมือนเดิมแล้วนะเว้ย ตอนนี้เขาปรับโซนด้านหลังสวยงาม มีสะพานไม้เดินข้ามน้ำ มีซุ้มรับรองแขกที่มองออกไปเห็นบึงบัวหลวงประจำอำเภอโนนศิลาของแกด้วย แถมปรับชื่อเก๋ ๆ เป็น ครัวต้นคูณลาบแซ่บ&เดอะคาเฟ่ มีทั้งอาหารอีสาน อาหารไทย อาหารฝรั่ง แล้วก็มีกาแฟขายด้วย แต่เขาก็ยังทำลาบก้อยขายเหมือนเดิมเป็นซิกเนอเจอร์ของร้าน




จำได้ไหมที่แกพยายามคะยั้นคะยอให้ฉันลองชิมก้อยเนื้อดิบ แต่ก็นั่นแหละ ไอ้ฉันมันพวกใจเสาะ ไม่กล้ากินของดิบ วันนี้แวะมาร้านนี้คิดถึงแก ฉันพยายามรวบรวมความกล้าลองสั่งก้อยเนื้อดิบมา แต่ท้ายที่สุดขอสารภาพ ฉันก็ไม่กล้ากินอยู่ดี เลยขอให้ทางร้านเอาไปคั่วสุกมาให้แทน ก้อยเนื้อคั่วของร้านนี้เขาอร่อยเหมือนเดิมเลยแก ฉันชอบที่มันมีกลิ่นอายอีสานชาวบ้านแบบชัดเจนมาก นอกจากก้อยฉันก็ยังพวกไส้กรอกอีสาน เนื้อแดดเดียว แล้วก็สั่งปลานิลทอดลุยสวนของทางร้านมาลองด้วย เห็นทางร้านบอกว่า ผักสมุนไพรหลายอย่างที่เคล้าน้ำยำราดมา มีทั้งที่ปลูกเองหลังร้าน และก็อุดหนุนผักออร์แกนิกของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มาปลูกผักขายที่โนนศิลา ดีเนอะ การค้าขายแบบพึ่งพากันแบบนี้ ชุมชนจะได้อยู่รอด

อีกเรื่องในโนนศิลาที่คิดว่าฉันต้องอัปเดตให้แกรู้ก็คือ ร้านไก่ย่างเป็นเอก ที่ทำไก่ย่างส้มตำอร่อย ๆ ฝั่งติดมิตรภาพขาเข้าโคราช เขาไม่ได้ใช้ไก่สามสายพันธุ์เหมือนสมัยก่อนมาทำไก่ย่างแล้วนะเว้ย เพราะเขาอยากสร้างอัตลักษณ์ และเห็นว่าคนรุ่นใหม่รักสุขภาพกันมากขึ้น ตอนนี้ทางร้านเขาก็เลย ปรับมาใช้ไก่ออร์แกนิคจากโคราช เอามาทำไก่ย่างออร์แกนิคบอกเลยว่ามันดีงามมาก ไก่ย่างมาหนังกรอบ เนื้อในนุ่มหนึบ กินกับข้าวเหนียวแล้วอร่อยสุด ๆ ส้มตำเขาก็ยังแซ่บเหมือนเคย ฉันชอบที่ปลาร้าในส้มตำเขากลิ่นไม่แรงมาก เพราะทางร้านเขาต้มปลาร้าเองและก็ไม่ชอบปลาร้ากลิ่นโหน่ง ตรงตามรสนิยมของฉันที่แกชอบค่อนแคะว่าฉันเป็นลูกอีสานดัดจริตนั่นแหละ นี่เลยซื้อปลาร้าขวดของทางร้านกลับบ้านไปด้วย แล้วอีกเมนูที่ตอนนั้นพวกเรามาแล้วไม่ได้กิน ก็คือ ปลานิลแดดเดียวทอด อันนี้มันดีมากแก ปลานิลแดดเดียวตัวใหญ่เบิ้ม ทอดมาหนังกรอบ สีทอง เนื้อในฉ่ำ รสชาติเค็มนัวกำลังกิน มันฟินสุด ๆ เลยว่ะ
เสียดายที่ฉันมารู้ที่หลัง หลังจากกินอิ่มแล้ว ว่าทางร้านมีเมนูลับ คือ “ไก่ย่างทอด” ซึ่งต้องแจ้งทางร้านและรอสักหน่อย เขาจะเอาไก่ที่หมักไว้เตรียมย่างไปทอดมาเสิร์ฟ เห็นว่าใครได้กินเป็นต้องติดใจ แต่ที่เสียดายกว่าก็คือ วันนี้ไม่มีแกมานั่งแย่งน่องไก่กับฉันเหมือนวันนั้น

อย่างเลยนะ จริงอยู่ ว่าถ้าเทียบกับอำเภอใหญ่ ๆ ในขอนแก่น ของที่มีในโนนศิลามันอาจจะดูเหมือนมีน้อย แต่มีน้อยมันก็มีนะเว้ย แถมยังมีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้นด้วย เชื่อว่าอีกหน่อยอำเภอบ้านเกิดแกก็คงจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน….แต่ยกเว้นสิ่งเดียวที่โนนศิลาไม่มีอีกแล้ว นั่นก็คือแก คนที่ฉันคิดถึงที่สุด เชื่อว่าสักวันฉันกับแกคงได้พบกันอีกครั้ง แต่ตอนนี้ยังก่อนนะเว้ย ยังก่อน
คิดถึงแกเสมอ จาก เพื่อนของแก
contact
ใบกะเพราโนนศิลา ติดต่อ ผู้ใหญ่บ้านหนองทุ่ม ต.โนนแดง อ.โนนศิลา 0648750890 (ผู้ใหญ่บ้าน อบต.โนนแดง หมู่3)
กลุ่มทอผ้าไหมบ้านหนองแวงทอแสงผีเสือ โทร.0983972813 (แม่ทองปิ่น มาบุดดา)
ร้านยายยาส้มวัวโนนศิลา โทร 092 491 6397
ครัวต้นคูณลาบแซ่บ&เดอะคาเฟ่ โทร. 095 670 7179 หรือ เฟซบุ๊ก : Tonkoon the café
ร้านไก่ย่างเป็นเอก โทร.098 097 7243 หรือ เฟซบุ๊ก : ไก่ย่างเป็นเอก I Khon Kaen
ร้านอาหาร แม่ทิพย์ ตามสั่ง โทร. 085 527 6268 (หยุดทุกวันเสาร์)
ขอบคุณ
คุณปริญญา กสิกิจวรกุล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น อำเภอโนนศิลา เอื้อเฟื้อข้อมูลเรื่องกะเพราบ้านโนนแดง
องค์การบริหารส่วนตำบลโนนแดง เอื้อเฟื้อข้อมูลเรื่องกะเพราบ้านโนนแดง
คุณเด่นศักดิ์ เหมือนสันเทียะ เอื้อเฟื้อข้อมูล
คุณทาริกา พรหมทอง เอื้อเฟื้อข้อมูล
คุณภัทร์พนธ์ ขุลีทรัพย์ เอื้อเฟื้อข้อมูล
เรื่อง : สิทธิโชคศรีโช ภาพ : กานต์ตำสำสู