เที่ยวชุมแพ เมืองมิกซ์อดีตปัจจุบันไว้ด้วยกันแบบเนียน ๆ เยือนงานตรอกชุมแพครั้งที่ 1
ชิมช็อปสารพัดของอร่อย เมาท์มอยกับเหล่า enterperneur ผู้ขับเคลื่อนชุมแพ
ว่ากันว่าเมื่อก่อนพื้นที่ชุมแพมีกอไผ่ขึ้นหนาแน่น ชาวบ้านจึงตัดไม้ไผ่มามัดเป็นแพใช้ยืนหว่านแห แล้วตีวงล้อมเข้าหากัน นานเข้าจึงเรียกว่า “กุดชุมแพ” และ “บ้านชุมแพ” คนบ้านอื่นเมืองอื่นอาจบอกว่ารู้จักอำเภอนี้จากหนังรุ่นเก่าเรื่อง “ชุมแพ” แต่คนพื้นที่เขาก็แย้งว่าเป็นเพราะชุมแพดังและมีดีอยู่แล้ว คนทำหนังก็เลยต้องตามมาถ่ายทำ ฟังดูมันก็ make sense
วันนี้ชุมแพกลายเป็นอำเภอใหญ่ในจังหวัดขอนแก่น ที่ยังมีบรรยากาศวันเก่าก่อนให้เราเข้าไปดื่มด่ำกับอดีตโดยไม่ต้องพึ่งไทม์แมชชีน ส่วนฝั่งปัจจุบันก็มีคนรุ่นใหม่ที่กลับมาสร้างสรรค์สเปซให้เมือง so cool ดูฮิปไม่น้อย
Local Insider ครั้งนี้เลยอยากชวนทุกคนไปเที่ยวชุมแพแบบ 2 วัน 1 คืน เพื่อไปทำความรู้จักกับผู้คนและบ้านเมืองที่มิกซ์อดีตและปัจจุบันไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ไปหาคำตอบของเมืองที่มีแมสคอตชวนสงสัยว่าทำไมต้องเป็นนกเค้าแมว ไปเมาท์
มอยกับเหล่า enterperneur ทั้งรุ่นเก๋า รุ่นใหม่กิ๊กถึงไอเดียในการขับเคลื่อนพัฒนาเมืองไปพร้อมกับการทำธุรกิจ และไปรู้จักกับอีกสารพัดของอร่อย ที่ต้องบอกเลยว่ามาเยือนชุมแพเมื่อไรไม่ควรพลาดเช็คอินสิ่งที่เอามาเล่าสู่กันฟังนี้ด้วยประการทั้งปวง!
ฝากท้องมื้อเที่ยง ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อรสดีเด็ด ตำรับ 50 ปี
มาถึงชุมแพตอนเที่ยงวันศุกร์ น้ำย่อยในท้องเริ่มส่งเสียงประท้วง เลยต้องหาของอร่อยปรนเปรอกระเพาะสักนิด สะดุดตากับร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อ “รสดีเด็ด” ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ขาเข้าขอนแก่น เลยแวะเข้าไปชิม สืบความแล้วพบว่าเป็นเจ้าเก่าแก่ของชุมแพขายมานานกว่า 50 ปี โดยเจ้าของสูตรคือ คุณสมศักดิ์ อารีพรประภา เดิมเป็นคนเมืองชลบุรี ได้สูตรอร่อยนี้มาจากญาติ เลือกใช้เนื้อวัวพื้นบ้านเกรด A และเอ็นมาตุ๋นตามสูตรยาจีนซึ่งเป็นลับเฉพาะของทางร้าน จนได้เนื้อและเอ็นเปื่อยกลิ่นหอมกรุ่นตักเข้าปากปุ๊บแทบละลายในปาก ลูกชิ้นเนื้อหนึบเด้งสู้ฟันกำลังดีนี่ทางร้านก็ทำเอง น้ำซุปก็รสกลมกล่อมและไม่หวาน

โดยรวมแล้วยกนิ้วให้เพราะจัดเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ไม่คาวและอร่อยแบบไม่ต้องปรุง อ้อ อีกหนึ่งเมนูที่ไปแล้วไม่ควรพลาดก็คือ เนื้อแดดเดียวทอด ทางร้านมีแพ็กขายให้ซื้อกลับเป็นของฝากเพื่อนำไปทอดเองด้วย รสชาติเนื้อแดดเดียวเค็มหวานล้อกันกำลังดี กินกับข้าวเหนียวร้อน ๆ แล้วอร่อยเข้าคู่ถูกต้องที่สุด ร้านนี้เปิดทุกวัน เว้นแต่จะมีธุระปะปังจึงจะหยุด แวะเข้าไปอุดหนุนได้ตั้งแต่ 07.00 น.-16.00 น. พิกัดติดถนนใหญ่ใกล้วงเวียนไฟแดงใหญ่ โทรศัพท์ 084 955 5992






ดูหนังชนโรง ที่โรงภาพยนตร์ชุมแพซีนีเพล็กซ์
กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ อากาศเริ่มร้อน เลยอยากหาที่นั่งพักแบบแอร์เย็น ๆ สักหน่อย รู้มาว่าอำเภอชุมแพเขายังมีโรงหนัง สแตนอโลนอย่าง “ชุมแพซีนีเพล็กซ์” ที่เปิดให้บริการฉายหนังแบบชนโรงในราคาแค่ 60 บาท เท่านั้น เราก็เลยถือโอกาสแวะเข้าไปดูหนังซะเลย

ระหว่างรอเวลาหนังฉายจึงมีจังหวะได้คุยกับโบว์ สะใภ้ผู้เป็นทุกอย่างให้กับโรงหนังแห่งนี้ เธอเล่าให้เราฟังว่า จุดเริ่มต้นจากคุณแม่ของเจ้าของ เห็นว่าลูกชายชอบดูหนังก็เลยเปิดโรงภาพยนตร์นี้ให้ลูกชาย ต่อมาก็เริ่มได้รับความนิยมจากคนในชุมแพ โรงหนังเปิดฉายครั้งแรกปี พ.ศ.2544 หนังเรื่องแรกคือ ‘สุริโยทัย’ ราคาตั๋ว 60 แล้วเคยลดลงเหลือ 30 ด้วยพิษเศรษฐกิจ ก่อนจะปรับมาเป็น 50 แล้วก็โดนวิกฤติโควิดอีก พอหลังโควิดเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา เราก็ปรับมาเป็น 60 บาท

“กว่าจะได้หนังชนโรงมาฉาย อาเฮียต้องไฟต์กับบริษัทหนัง เขาจะมาดูว่าโรงหนังเรามีพื้นที่เท่าไร มีกี่โรง กี่ที่นั่ง แต่ก่อนใช้เป็นม้วนฟิล์ม แล้วปรับมาเป็นระบบดิจิทัล ระบบเครื่องเสียงเป็นของบริษัท Goldenduck รุ่นแรก ๆ คือโรงหนังของเราจะเปลี่ยนเป็นรุ่นแรกในแต่ละยุคทุกอย่าง จึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการการฉายหนังของโรงหนังในไทยด้วย
“มีข่าวการมาเยือนของโรงหนังขนาดใหญ่ 2 แห่ง บอกตามตรงว่าเราเองก็แอบหวั่นใจ พวกเราสู้มากนะคะกว่าจะได้หนังชนโรงมาฉาย เราต้องแสดงศักยภาพให้เขาเห็นว่าโรงหนังของเรามีลูกค้า ถึงจะหวั่นใจอยู่บ้างกับการแข่งขัน แต่ขอแค่ลูกค้าไม่ทิ้งเรา เราก็จะไม่ทิ้งลูกค้าเหมือนกัน”
โบว์บอกกับเราว่าแต่ระรอบฉาย หากมีลูกค้า 4-6 คน ก็จะเปิดฉายหนังให้เข้าชมได้ ถ้าลูกค้าไม่ถึงจำนวนนี้แต่ต้องการชมก็สามารถจ่ายเงินเพิ่มเท่ากับจำนวน 4 คน ทางโรงหนังก็จะเปิดฉายให้ และถ้าระหว่างฉายหนังมีลูกค้าเข้ามาชมเพิ่มจนครบหรือเกินจำนวน พอฉายหนังจบทางโรงหนังก็จะคืนส่วนต่างให้กับผู้เข้าชมกลุ่มแรกที่จ่ายเงินเกินไว้
ทางโรงหนังยังสั่งทำป๊อบคอร์น และกล้วยเบรกแตก ไว้ขายเป็นของขบเคี้ยวให้ซื้อไปกินในโรงหนังได้ด้วย ราคาถุงละ 20 บาท ชิมแล้วต้องรีวิวเพราะเป็นสแน็กที่อร่อยได้ใจ ไม่เหมือนโรงหนังที่ไหนในโลกหล้า เหนือไปกว่านั้นก็คือการได้อุดหนุนทั้งรอบฉายและขนมขบเคี้ยวนี้ มันคือการช่วงส่งต่อความหวังของธุรกิจชุมชนในชุมแพให้ยังคงยืนหยัดต่อไปได้





ชอบสดแค่ไหน ตลาดคูไซ รอเสิร์ฟ
ดูหนังจบก็บ่ายแก่จวนเย็นย่ำ ได้ยินเสียงร่ำลือว่า มีสองตลาดที่คนรักอาหารควรไปเยือน คือถนนคนเดินวันศุกร์ และตลาดสดริมหนองคูไซ หรือที่คนแถวนี้เรียกว่า “ตลาดคูไซ” ซึ่งเต็มไปด้วยวัตถุดิบพื้นบ้านมากมายให้หยิบใส่ตระกร้า ก็เลยตัดสินใจไปเดินตลาดคูไซก่อน ตื่นตาตื่นใจมากที่ได้เห็นปลาแม่น้ำอย่างปลาหลาด ปลาหลดสด ๆ ร้อยขายเป็นพวง ฝักบัวสดอัดแน่นด้วยเม็ดบัวกรอบหวาน ยอดผักหวานป่า ผลผักหวานป่า และไข่มดแดง ของกินประจำฤดูร้อนของคนอีสาน เด็ดไปกว่านั้นคือได้ไปเจอ “ลูกรอก” หรือ ไส้หมูกรอกด้วยไข่แล้วนำไปต้มจนสุก แม่ค้าทำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด แซ่บอีหลี




เดินไปอีกหน่อยไปเจอคุณป้ากำลังตั้งอกตั้งใจปิ้งมันทิพย์ขาย สะดุดตาตรงรูปทรงมันทิพย์ที่เป็นทรงแบน ไม่ได้ปั้นกลมแบบที่อื่น ป้าเจ้าของร้านบอกว่าทำแบบนี้ช่วยให้พลิกไปมาเวลาปิ้งขายได้ง่ายขึ้นและสุกทั่วชิ้นดี มีให้เลือกสองสี ทั้งมันม่วง และมัน 5 นาที รสหวานมันกลมกล่อม สัมผัสกรึบ ๆ เวลาเคี้ยวเจอเนื้อข้าวโพดที่ผสมลงไป ขายแค่ 3 ชิ้น 20 บาท เท่านั้น









เดินถนนคนเดินที่มีแบ็กกราวน์เป็นภูเขา ชิมลูกชิ้นทอดเจ้าเก่าของชุมแพ
ช็อปตลาดสดคูไซเสร็จ ก็มาต่อที่ถนนคนเดินยาวเหยียดสุดลูกตาโดยมีแบ็กกราวน์เป็นภูเขาอยู่ด้านหลัง ทุกเย็นวันศุกร์ ถนนสันติสุข ข้างสำนักงานเทศบาลเมืองชุมแพ จะแปรสภาพเป็นถนนคนเดินยาวเหยียด ปรกติย่านนี้จะมีบาร์หลายแห่งที่ฝรั่งจะมานั่งชิล ๆ แต่พอถึงเย็นวันศุกร์ก็จะถูกล้อมรอบด้วยร้านค้าสารพัด โดยเฉพาะของกินที่วางขายกันเต็มไปหมด

สิ่งแรกที่วิ่งใส่คือเมี่ยงคำเสียบไม้เพราะชอบกิน ส่วนที่อยากแนะนำจริง ๆ คือลูกชิ้นหมูทอดร้าน “ครูอาร์มลูกชิ้นในตำนาน” ตัวลูกชิ้นทรงรีเล็กเนื้อเนียนนิ่มหนึบทำจากเนื้อสะโพกหมูผสมแป้งนิดหน่อย และเครื่องปรุงรสเล็กน้อยเท่านั้น ต้นตำรับจากสูตรอากงของครูอาร์มซึ่งเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว ตกทอดผ่านมาทางคุณแม่ของครูอาร์ม เป็นตำรับเก่าแก่กว่า 30 ปี โดยจะแบ่งเป็น 3 ร้าน 3 ชื่อ คือ “ลูกชิ้นแม่จวน” ของคุณย่าครูอาร์มที่ขายเป็นรถซาเล้ง “ลูกชิ้นแม่อ้อย” ของคุณแม่ครูอาร์ม ขายที่ตลาดดีบุญมี ณ ชุมแพ ตอนเช้าช่วงเวลา 05.00 น.-08.30 น. แล้วขยับมาขายช่วงเย็นที่ตลาดราชพัสดุชุมแพติด บ.ข.ส.ชุมแพ ตอน 13.00 น.-15.00 น. ส่วนวันศุกร์ ก็จะมีรถเข็นของ “ครูอาร์มลูกชิ้นในตำนาน” ที่ถนนคนเดิน ซึ่งทั้งหมดคือเจ้าเดียวกัน น้ำจิ้มของร้านนี้แซ่บได้ใจ ทำจากพริกสดน้ำตาลเคี่ยวรสเปรี้ยวหวานเผ็ด หอมฉุนกรุ่นกลิ่นแคปไซซินอยด์จากพริกจินดาปั่นทั้งขั้วจึงหอมฟุ้งสะดุ้งจมูกแบบเกินต้าน ราคาขายไม้ละแค่ 5 บาท ถ้าแวะไปอย่าลืมชิม (โทร 0815056995 บูรณ์พิพัฒน์ วันเลิศ)


ระรื่นลิ้น ร้านขายเคบับที่กลายเป็นจุดนัดฝันของคนชุมแพรุ่นใหม่ยามค่ำคืน
เดินเที่ยวถนนคนเดินวันศุกร์เสร็จฟ้าก็เริ่มมืด สืบรู้มาว่าเย็นย่ำแบบนี้ที่ชุมแพเขามีสเปซไว้แฮงก์เอาท์ที่คนรุ่นใหม่จะไปรวมตัวกัน เป็นร้านเคบับเล็ก ๆ ชื่อว่า “ระรื่นลิ้น” ก็เลยต้องแวะไปลองสักหน่อย พอไปถึงร้านเป็นห้องขนาดเล็ก มีเตาปรุงเคบับอยู่ด้านหน้า และมีบาร์ยาวให้นั่ง เจ้าของร้านออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม และพูดคุยด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง ระหว่างที่สั่งเคบับมาลองชิม ก็เลยได้พูดคุยถึงที่ไปที่มาของร้านระรื่นลิ้นแห่งนี้

เอสโซ่ และอิ๋ว เปิดร้านเคบับแห่งนี้ขึ้นเป็นกิจการเสริมจากอาชีพหลักที่ทั้งสองคนทำอยู่ ด้วยความเป็นคนปากนัวหัวม่วน จู่ ๆ ร้านระรื่นลิ้นก็กลายเป็นแหล่งแฮงก์เอาท์ จุดนัดฝันรวมตัวคนรุ่นใหม่ที่ออกไปใช้ชีวิตแล้วกลับมาอยู่บ้านที่ชุมแพ
“จริง ๆ เราเป็นร้านขายเคบับ แต่คนชอบแซวว่าเปิดร้านขายเคบับบังหน้าเพราะมีเครื่องดื่มด้วยครับ แล้วช่วงหลัง ๆ ทั้งผมและแฟนต่างคนต่างมีสองจ็อปกันทั้งคู่ เคบับก็เลยจะไม่ค่อยได้ขาย หรือเริ่มมาขายตอนเย็นประมาณทุ่มนึง ลูกค้าก็มานั่งชิลกัน มีเครื่องดื่ม มีอาหารทานเล่นนิดหน่อย แต่ไม่มีเคบับ ก็เลยโดนแซวว่า เป็นร้านเคบับที่ต้องมาถามว่า ‘วันนี้มีเคบับขายไหมคะ’ อะไรแบบนี้”

“เดิมทีระลื่นลิ้นก็ไม่ได้มีเจตนาจะให้เป็นร้านนั่งดื่ม เราตั้งใจให้เป็นร้านเคบับที่อยู่ได้นานที่สุด อยากเป็นร้านที่คนติดใจในรสชาติอาหาร อยากขายไปยาวนานอารมณ์เหมือนร้านเหลาจีนเก่าแก่ ให้ในอนาคตใครอยากกินเคบับก็นึกถึงร้านผม”
“พอเปิดร้านเพื่อนก็อยากมาอุดหนุน แรก ๆ ร้านเปิด 10 โมง ถึงสองทุ่ม แต่หลังสองทุ่มเพื่อนก็มาหาอยู่ดี อารมณ์อยากมานั่งบ้านเพื่อน มาสังสรรค์กัน ก็เลยคิดว่างั้นเอาเครื่องดื่มมาขายด้วยแล้วกัน ทีนี้พอมีคนมานั่งชิล มีเครื่องดื่ม เพื่อนเลยชวนจัดคอนเสิร์ตที่ร้าน ก็ลองทำดู พอเริ่มมีครั้งที่หนึ่ง ก็เริ่มมีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม แต่ไม่ได้จัดประจำนะครับ จัดเป็นครั้ง ๆ ไป”

“จากร้านขายเคบับ พอมีบาร์เล็ก ๆ ตอนกลางคืนนั่งชิลได้ เริ่มมีพื้นที่ให้มีผู้คนมาทำกิจกรรมกัน ได้เจอได้พูดคุยกับผู้คน
ใหม่ ๆ บางวันลูกค้ามาเขาก็ไม่ได้มานั่งกินเคบับนะครับ แค่อยากนัดเจอเพื่อนฝูงกัน เรียกว่ามันคือการมาเจอสังคม
“ความตลกของร้านผม คือส่วนใหญ่คนที่มาจะเป็นคนเหงาที่เพิ่งกลับมาบ้าน อยากมาทำธุรกิจอะไรสักอย่าง พื้นที่ของร้านระรื่นลิ้นมันมักจะเจอคนแบบนั้น ผมเป็นคนที่เชื่อเรื่องกฎแรงดึงดูด เราเป็นคนแบบไหน เราก็มักจะเจอคนแบบนั้น”
เอสโซ่บรรจงห่อเคบับที่เราสั่งแล้วส่งให้ ก่อนจะย้ำกับเราว่า ในใจเขาก็ยังอยากให้ระรื่นลิ้นเป็นร้านเคบับที่อยู่ได้นานและติดใจลูกค้า ส่วนสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเพิ่ม เช่น การที่ร้านกลายเป็นจุดนัดพบปะของผู้คนในชุมแพ ได้แลกเปลี่ยนความฝัน ไอเดียต่าง ๆ ซึ่งกันและกัน ก็ถือว่าเป็นกำไรของร้าน และระรื่นลิ้นก็ยินดีที่จะเป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้มาพบปะม่วนจอยกัน
ว่าแล้วก็ฉีกกระดาษห่อเคบับแล้วชิม เคบับเขารสชาติอร่อยทีเดียว ถ้าใครมีโอกาสได้แวะผ่านไปผ่านมาทางชุมแพ บอกเลยว่า ไม่ควรพลาดเยือนร้านระรื่นลิ้นแห่งนี้ด้วยประการทั้งปวง ร้านตั้งอยู่ที่ ถ.สาสนะสิทธิ์ อ.ชุมแพ เปิด จันทร์ – เสาร์ ตั้งแต่ 12.00 น.-23.30 น. โทร 063 821 9324 หยุดทุกวันอาทิตย์ แอบกระซิบว่าถ้าอยากได้ฟีลคนเยอะ ๆ ให้ไปหลังสี่ทุ่มจ้า
เช้านี้ที่ บขส.ชุมแพ ชิมถั่วต้มวีนัสในตำนาน และ ข้าวจี่แจ่วบอง ที่ตลาดราชพัสดุ
ตื่นเช้ามาต้องหาอะไรกินสักหน่อย ก็เลยเลือกไปเดินตลาดสดแถว บ.ข.ส.ชุมแพ ทั่วประเทศไทยในวันนี้ บ.ข.ส.แทบจะล้มตายไปหมด แต่ บ.ข.ส.ชุมแพ ยังนับว่าคึกคักกว่าที่อื่น ๆ วัยรุ่นนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นหลายคนจะรู้จัก บ.ข.ส. นี้ดี เพราะเวลานั่งรถจะไปเที่ยวภูกระดึงที่เมืองเลย รถโดยสารต้องจอดพักรับคนที่นี่ ด้วยความคึกคักของ บ.ข.ส. ทำให้ตลาดราชพัสดุ ที่อยู่ข้างกันนั้นยังคึกคักไม่แพ้กัน ภาพน่าสนใจที่ไม่ได้เห็นง่าย ๆ แล้วเดี๋ยวนี้คือ รถสามล้อส่งผักส่งสินค้าที่ยังปั่นด้วยแรงน่องของคน และตลาดนี้ยังมีของอร่อยที่มาถึงแล้วไม่ควรพลาดชิม ก็คือ ถั่วต้ม และ ข้าวจี่แจ่วบอง

ถั่วต้มวีนัส เป็นร้านถั่วต้มในตำนานของคนชุมแพ เจ้าของสูตรเป็นนายทหารปลดประจำการ ออกมาต้มถั่วขายมานานกว่า 20 ปี ทีเด็ดคือถั่วต้มเขาจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ แบบต้มธรรมดา และ แบบต้มจนนิ่ม ราคาอยู่ที่ กระป๋องละ 20 บาท 3 กระป๋อง 50 บาท คนขายบอกว่า ถั่วต้มนี้จะต้มกับเกลือด้วยฟืนเท่านั้น


เดินลึกเข้าไปในตลาดสักหน่อย กลิ่นปลาร้าหอม ๆ จะโชยมาแตะจมูก จุดสุดตลาดทอดยาวราว 10 เมตร จะเต็มไปด้วยแผงขายปลาร้า ถ้าจะเรียกว่าเป็นถนนสายปลาร้าก็ไม่ผิด นอกจากปลาร้าแล้ว หลาย ๆ ร้านยังทำข้าวจี่เสียบไม้ เนื้อเค็ม หมูเค็มเสีบบไม้ และแจ่วบองขายด้วย แอบเร็กคอมเมนต์ “ร้านเจ้ขันทองปลาร้าบอง” (โทรศัพท์ 086 235 7600) เพราะข้าวเหนียวที่ทำข้าวจี่นุ่มมาก มีให้เลือกทั้งข้าวก่ำสีดำ และข้าวเหนียวขาว ไม้ละ 10 บาท กินคู่กับหมูเค็มอีก 10 บาท ส่วนแจ่วบองก็มีทั้งแบบดิบ แบบสุก ใส่แมงดา ไม่ใส่แมงดา ให้เลือกตามชอบ บอกเลยว่า รวมราคาครึ่งใบแดงก็อิ่มท้องมื้อเช้าได้แล้ว
เดินเล่นในเมืองชุมแพ แวะบุ๊คเซ็นเตอร์ ร้านหนังสือแห่งความสำเร็จของ Working Woman
พอกินข้าวจี่ บ.ข.ส.เสร็จ ก็ถือโอกาสเดินเล่นย่านเมืองของชุมแพละแวกนั้น วิถีชีวิตคนชุมแพย่านตลาด ยังถือว่าคึกคักใช้ได้ ภาพที่เห็นแล้วฮีลใจมากก็คือ คุณลุงคนหนึ่งกำลังนั่งจัดสวนถาดต้นไม้และบรรจงเรียงหินลงบนกระถางแคกตัสน้อย ๆ ของเขาด้วยรอยยิ้มอย่างตั้งอกตั้งใจ นี่แหละแค่ทำอะไรด้วยความสุขใจ ความสุขนั้นมันจะเผื่อแผ่มายังคนรอบข้างเอง
เดินต่อไปสักหน่อยไปเจอร้าน “บุ๊คเซ็นเตอร์” ด้วยเป็นคนรักหนังสือพอเห็นร้านขายหนังสือดั้งเดิมในพื้นที่จึงไม่พลาดเข้าไปเยี่ยมชม แล้วโชคดีได้คุยกับเจ้าของร้านด้วย จึงรู้ว่าร้านนี้ยืนหยัดคู่เมืองชุมแพตั้งแต่สมัยถนนเป็นดินลูกรัง ทั้งหมดของความสำเร็จมีหนึ่งมันสมองและสองมือของ รัชนี อยู่ประเสริฐ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เธอเล่าถึงการต่อสู้บนสังเวียนธุรกิจในชุมแพและนิยายชีวิตที่เกิดขึ้นในวันวานให้เราฟังว่า
“ฉันเป็นน้องสาวของ คุณสะอาด ตงศิริ หจก.ศิริบุ๊คสโตร์ อำเภอบ้านไผ่ พอมีครอบครัวก็ออกมาสร้างรากฐานที่อำเภอชุมแพ ช่วงมาอยู่ใหม่ไม่มีใครรู้จักสามีต้องขับมอเตอร์ไซด์ไปประชาสัมพันธ์ตามหน่วยงานต่าง ๆ และโรงเรียนที่ใกล้เคียงกับอำเภอชุมแพ อยู่ชุมแพสิบกว่าปีสามีป่วยและเสียชีวิต เมื่อขาดผู้นำพูดง่าย ๆ คือรู้สึกตกใจ เศร้าใจ จนไม่สามารถพูดออกมาได้ มันเคว้งคว้าง และคิดว่าเราจะเลี้ยงลูกต่อไปได้อย่างไร หนทางมืดมนในใจ คิดว่าจะกลับบ้านดีไหม แต่ถ้ากลับบ้านไปก็อายเขา เรามองดูสิ่งที่รอบ ๆ ตัวเรา ยังมีลูก 4 คน แต่ละคนส่งสายตาและรอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์เป็นกำลังใจให้แม่ ทำให้คิดว่าจะต้องจูงมือพาพวกเขาเดินไปข้างหน้าด้วยกันให้สำเร็จ จึงสัญญากับตัวเองตั้งแต่นั้นมาว่าชีวิตนี้ต้องสู้เพื่อลูก”



“พอลูก ๆ เรียนจบ ก็ช่วยกันบริหาร และเปลี่ยนชื่อร้านเป็น ‘บริษัท บุ๊คเซ็นเตอร์แอนด์เทคโนโลยี จำกัด’ จนถึงทุกวันนี้รวม 48 ปี พวกเราผ่านทั้งวันที่ขายดี และวันที่ซบเซา ชุมแพวันนี้มีห้างใหญ่ และร้านสะดวกซื้อมาช่วงชิงพื้นที่การขาย แรก ๆ ก็กลุ้มใจกับเรื่องนี้ พอดีมีแมกกาซีน Hallo ! ที่ด้านในมีบทความสัมภาษณ์ผู้หญิงเก่ง เราชอบอ่านคอลัมน์นี้ เพราะทำให้มีพลังใจ จึงนำแนวคิดมาปรับใช้กับการทำงาน วิเคราะห์และปรับปรุงตัวเอง ด้วยสภาพท้องถิ่นยังไม่เจริญ สังคมในเมืองเขาจะไม่ยอมรับผู้หญิงเป็นผู้นำ ต้องใช้เวลาพิสูจน์และคอยอธิบายให้เข้าใจว่าผู้หญิงก็ทำงานได้เก่ง ไม่แพ้ผู้ชาย”
“ทุก ๆ วันนี้ ได้ปรับปรุงเป็น ร้าน One Stop Service นอกจากการขายสินค้า เครื่องคอมพิวเตอร์ หมึกและอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้ว ร้านเรายังคอยบริการเรื่องเอกสารต่าง ๆ แบบครบวงจร เพราะความเป็นผู้หญิงของเรา ที่ต้องทำงานอย่างละเอียดลออ ตรงนี้แหละที่ลูกค้าเริ่มมาสนใจซื้อขายกับร้านเราอีกครั้ง ทางร้านจะเน้นเเฉพาะกลุ่มเด็กนักเรียน เมื่อห้างใหญ่มา ร้านก็ซบเซาลงไปเยอะ จึงหันมาเน้นขายสินค้ากับหน่วยงานราชการเป็นหลัก ส่วนยอดขายหน้าร้านก็ให้เป็นรองแทน”

“สมัยก่อนเราต้องเดินทางไปหาลูกค้า เพื่อสร้างคอนเน็กชั่น แต่ตอนนี้ลูกค้าเป็นฝ่ายกลับมาหาเราเอง ดิฉันต้องขอกราบขอบพระคุณลูกค้าทุกๆ ท่าน และหน่วยงานราชการที่มาใช้บริการกับทางบริษัทของเรา”
การย่างกรายเข้าไปเยี่ยมเยือนร้านค้าชุมชนแห่งนี้ นอกจากจะทำให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศวันวาน ได้เห็นหนังสือนอกเวลาที่ยังวางขาย กลิ่นหนังสือ อุปกรณ์การเรียนและเครื่องเขียนในร้าน ต่างชวนให้นึกถึงวัยเด็กแล้ว แถมนิยายชีวิตที่คุณรัชนีเล่าให้เราฟัง ยังทำให้เห็นถึงความสำคัญในการรู้จักปรับตัวของการทำธุรกิจ และความสำคัญของการอุดหนุนร้านค้าชุมชน โดยคนในชุมชน ว่าคือทางรอดของบ้านเมืองที่จะขับเคลื่อนไปได้ด้วยการถ้อยทีถ้อยอาศัยเป็นหัวใจสำคัญ
เจ๊คูณ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูทำเองกรอบเด้งไม่ง้อผงชูรส ตำนานความอร่อย 70 ปี
คุยกับคุณรัชนีเจ้าของร้านบุ๊คเซ็นเตอร์เสร็จ ในฐานะเจ้าบ้านเธอก็ไม่ปล่อยให้เราไปเดินควานหาของอร่อยมื้อเที่ยงแบบเสี่ยงดวง เพราะบอกว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวในตำนานของคนชุมแพที่ใครมาเยือนต้องไปกินให้ได้ งานนี้คุณรัชนีไม่เพียงแต่แนะนำเท่านั้น เพราะยังพาพวกเราไปเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวเจ้าที่ว่าอีกด้วย นับเป็นลาภปากจริง ๆ

เจ๊คูณ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก๋าของคนชุมแพ ขายอยู่ใกล้ ๆ กันกับ บ.ข.ส.ชุมแพ นั่นแหละ ทีเด็ดอยู่ที่ลูกชิ้นหมูทำเอง อร่อยแบบไม่พึ่งผงชูรส ทำจากเนื้อหมูสด ๆ ที่ต้องสั่งจากฟาร์มเฉพาะ เลี้ยงแบบพิเศษ นำมาปั่นทำลูกชิ้นตามกรรมวิธีดั้งเดิมตกทอดมาจากรุ่นคุณพ่อของเจ้าของร้านเป็นมรดกความอร่อย จนได้ลูกชิ้นหมูที่กรอบนุ่มเด้งยามเคี้ยวกิน เป็นสัมผัสที่แตกต่างไม่เหมือนที่ไหน ขายดิบขายดีทำลูกชิ้นเดือนนึง 900 กิโลกรัม ถึงจะพอขาย ซุปก๋วยเตี๋ยวเคี่ยวจากกระดูกหมูกลิ่นหอมฉุยหวานน้ำต้มกระดูก นอกจากนี้ก๋วยเตี๋ยวหลอดของทางร้านก็อร่อยได้ใจ รสชาติแบบ Old School กินแล้วเหมือนได้ย้อนอดีต ทีเด็ดคือก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ที่สั่งมาจากเจ้าประจำ ไม่ผสมแป้งมันมากจนเกินไปจึงไม่เหนียวติดคอ เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบด้วยแคบหมู กินกับน้ำจิ้มซีอิ๊วดำรสเปรี้ยวหวานแล้วเข้ากันสุด ๆ อย่างไรก็ต้องขอบคุณคุณรัชนีมาก ๆ นะครับที่เป็นเจ้าภาพเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวอร่อย ๆ ในตำนานให้กับพวกเรา
ร้านนี้เปิดทุกวันแวะมากินได้ตั้งแต่ 09.00 น.-17.00 น. พิกัดใกล้ บ.ข.ส.ชุมแพ โทรศัพท์ 061 124 8812





มติ ร้านกาแฟ Everyday Coffee ชีวิตชีวาของชุมแพ
กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเริ่มรู้สึกอยากเติมคาเฟอีนเข้าเส้น จึงปรี่ไปที่ร้าน Mati Roastery ตรงแถวตรอกชุมแพ ไม่น่าเชื่อว่าร้านกาแฟในตึกไม้โบราณร้อยปีของชุมแพแห่งนี้ ผู้จะคนคึกคักมาก กลายเป็นชีวิตชีวาให้กับเมืองชุมแพได้อย่างน่าอัศจรรย์

จุดเริ่มต้นของร้านนี้เกิดจากเหล่าผองเพื่อนชาวชุมแพทั้ง หลง โชติ ทอมมี่ และเมาส์ คิดอยากสร้างสเปซไว้เติมเต็มความสุขให้กับเมือง จึงมีมติว่างั้นเปิดร้านกาแฟกัน ภายใต้คอนเซปต์ Everyday Coffee ซึ่งทุกเมนูก่อนวางขายต้องผ่านการประชุมผ่านฉันทามติของหุ้นส่วนทุกคน กลายเป็นที่มาของชื่อร้าน Mati Rostery ร้านกาแฟที่มีโรงคั่วกาแฟแห่งแรกในชุมแพ
“ตอนแรกเราคิดว่าจะทำยังไงให้เมืองคึกคัก เราอยากเห็นพื้นที่ที่มันมีชีวิตชีวา มีความวุ่นวายแบบสร้างสรรค์ เพราะช่วงก่อนเปิดร้านชุมแพมันไม่มีที่ไป ไม่มีที่นั่งคิดงาน ไม่มีที่มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ก็เลยคิดกันว่าร้านกาแฟมันสามารถตอบโจทย์นั้นได้ พอเปิดร้านได้สักพักนอกจากจะเห็นว่าเมืองเริ่มคึกคักขึ้นแล้ว เรายังเห็นถึงความมีชีวิตชีวาของผู้คนที่เข้ามาที่ร้านเราอีกด้วย รวมไปถึงพวกเราทีมงานมติทุกคนก็รู้สึกมีชีวิตชีวาด้วยเช่นกัน”
ในราคาเริ่มต้นเพียง 60 บาทคุณสามารถซิปกาแฟดี ๆ ณ ร้านแห่งนี้ โดยทางร้านคัดสรรเมล็ดกาแฟเอง และทดลอง คั่ว ชิม เบลน จนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีเมล็ดคั่วทุกระดับให้เลือก ผ่านกรรมวิธีการชงหลากสไตล์ รวมถึงการชงเอสเปรสโซ่สไตล์เยอรมันที่หลงได้มีโอกาสไปเรียนมาจากเบอร์ลิน ซึ่งเน้นการดึงกลิ่นหอมและรสชาติจากเมล็ดกาแฟออกมาอย่างเข้มข้นและมีเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีขนมหวานฝีมือเมาส์ Baker ของทางร้านผู้เคยไปใช้ชีวิตที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันมาก่อน จึงได้สูตรเบเกอรีรสชาติเข้มข้นสัมผัสหนักแน่นตามสไตล์คนเยอรมันทำมาวางขายที่ร้านแห่งนี้ด้วย หลงบอกกับเราว่า
“ในขวบปีที่ 3 ทีมงานมติอยากทำให้คำว่า ‘มีชีวิตชีวา’ มันมีความหมายที่กว้างขึ้น ผมเห็นมาโดยตลอดว่าถนนสายนี้มันสวย และมีศักยภาพพอที่จะทำให้เมืองกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ พอมาเจอว่ามีการเซตโปรเจคตรอก และเปิดพื้นที่ให้เช่า มติจึงรีบเข้าไปคุยเพื่อจะได้มาอยู่ในตรอกตรงนี้ อาคารตรงนี้อยู่มาเป็นร้อยปีถือเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ของเมือง”





“เราย้ายจากร้านเดิมมาเปิดตรงนี้ตอนเดือนพฤศจิกายน 2567 และเริ่มได้เห็นว่าพื้นที่ตรงนี้เริ่มมีอะไรที่สร้างสรรค์ขึ้นมาตลอด ก็คาดหวังว่าพื้นที่คงจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และหวังว่า Mati Roastery จะได้ทำหน้าที่เติมชีวิตชีวาให้กับเมืองชุมแพอย่างที่ตั้งใจไว้ มาทำให้ชุมแพกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ขอฝากทุกคนด้วยนะครับ”
Mati Roastery ตั้งอยู่ที่ ถนนสารคุณ ต.ชุมแพ เปิดทุกวัน จ-ศ 08.00 น.-16.30 น. ส-อ เวลา 08.30 น.-17.00 น.โทรศัพท์ 095 610 9123
เตร็ดงานตรอกครั้งที่ 1 คุยกับเอ๊ะ คนกลับบ้านมาฟื้นชีวิต
ให้ย่านเก่าในชุมแพ กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง
นั่งจิบกาแฟร้านมติจนบ่ายคล้อยเริ่มเย็น ก็ได้เห็นบรรยากาศของร้านรวงที่เริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่ริมถนนในตรอกกัน เพราะวันที่ไปเยือน เป็นการจัดงานตรอกชุมแพครั้งที่ 1 บนพื้นที่ย่านเก่าที่ร้านกาแฟ Mati Roastery ตั้งอยู่ โดยมี เอ๊ะ สายชล แผ่นผา ลูกหลานคนชุมแพที่เกิดและเติบโตในย่านนี้ เป็นคนกลับมาริเริ่มพัฒนาตรอกชุมแพตรงนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยเริ่มจากเปิดร้านของตัวเองชื่อ “ตรอกสังกะสี” ที่เปิดทุกเย็นวัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ไว้เป็นพื้นที่ไว้นั่งดื่มนั่งดริ๊งค์ยามเย็นย่ำ และเริ่มทำ “โปรเจคตรอก” เพื่อฟื้นคืนชีพถนนสารคุณสายนี้ให้กลับมาคึกคัก เอ๊ะเล่าถึงที่มาที่ไปและความตั้งใจให้เราฟังว่า
“ก่อนหน้านี้ ชุมชนตรงนี้เรียกว่า บ้านหัวหนอง เป็นย่านที่มีแต่คนชุมแพแท้ ๆ อาศัยอยู่ ผมก็เป็นคนบ้านนี้ คนรุ่นตาผมเขาจะเรียกซอยตรงนี้ว่า ‘คุ้มกอก’ ถ้าใครได้เป็นคอหนังเก่าและได้ดูหนังเรื่องชุมแพ ก็จะเห็นภาพที่หนังสะท้อนจุดตรงนี้ว่า มันคือย่านโรงคณิกาของชุมแพ เป็นเหมือนซอยสถานบันเทิงเทา ๆ ที่คึกคักมาก”

“สมัยก่อนคนอีสานจะขึ้นเหนือหรือคนเหนือจะมาอีสานก็ต้องผ่านชุมแพ เมื่อมีการเดินทาง มีนายฮ้อย มีการเดินทางขึ้น มันก็เกิดการสร้างสถานบริการให้คนที่มาพักผ่อน นั่นแหละคือเหตุผลที่สัญลักษณ์แมสคอตของเมืองชุมแพเป็นตัวนกเค้าแมว เพราะมันสื่อถึงเมืองที่ไม่มีวันหลับใหล มีความเป็นไนท์ไลฟ์นั่นเอง”
“ชุมแพดังก่อนหนังชุมแพจะมาสร้าง คนทั่วไปจะรู้จักเมืองชุมแพก่อนที่จะมีหนังอยู่แล้ว หนังเรื่องชุมแพจะพูดถึงเรื่องของซุ้มโจร เรื่องของ คณิกา เขาก็ได้ยินข่าวมาอีกทีนึงก็จึงตามมาถ่ายทำ แล้วก็หนังที่เขาทำเขาก็มาเก็บข้อมูลจริง โลเกชั่นที่ถ่าย ก็มีที่ บขส.ชุมแพ หน้าตลาดชุมแพ แต่ก่อนเป็นโรงหนังเก่า เดี๋ยวนี้เป็นตลาดเย็น”
“ต่อมาหลังจากนั้น 20-30 ปี บ้านเมืองเปลี่ยน กฎหมายเปลี่ยน ซอยตรงนี้มันก็ไม่สามารถที่จะดำเนินธุรกิจเหมือนเดิมได้ ชุมชนตรงนี้ก็ซบเซาลง มันเหมือนถนนที่ตายไปเลย ไม่มีกิจกรรมอะไรเกิดขึ้น จากที่เคยคึกคักก็นิ่งสนิท”






“ผมกลับมาอยู่บ้าน แล้วรู้สึกว่าอยากพัฒนาชุมชนบ้านตัวเอง ก็เลยชวนน้อง ๆ ที่รู้จักกันในพื้นที่มารวมตัวกัน มาอยู่ตรงนี้ ทั้งร้าน Mati Roaster ชวนน้อง ๆ ที่เรารู้จักในพื้นที่มาอยู่ในซอยเดียวกัน แล้วก็คุมโทนและคุมเรื่องราวให้มาทางเดียวกัน เพื่อมาฟื้นพื้นที่ตรงนี้ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”
“ตึกไม้บริเวณนี้อายุเป็นร้อยปี แต่ก่อนเป็นตึกไม้ยาวไปทั้งเวิ้งเลยแต่ถูกรื้อไปบางส่วน ตอนนี้ก็พยายามอนุรักษ์กันเอาไว้ และก็พยายามสร้างกิจกรรมเป็นถนนวัฒนธรรม มีงานศิลปะ และมีงานดนตรี เราวางแผนไว้ว่าจะจัดงานเดือนละครั้ง วันนี้ที่ทาง KhonKaen Let’s Go มา (12 เม.ย.68) ก็จะเป็นครั้งแรกของโปรเจคตรอก ชื่องานว่า ถนนตรอกครั้งที่ 1”
“งานครั้งนี้จะรวบรวมเอางานศิลปะจากหลายหน่วยงาน ทั้งนักศึกษา ทั้งศิลปินอิสระ หรือองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับชุมชนด้านศิลปะ อย่างกลุ่มเที่ยววิถีสีชมพูของครูสอญอก็จะมาช่วย แล้วก็มีการจัดแข่งขันประกวดดนตรี แล้วก็ไม่มีค่าสมัคร เราก็หาทุนจากกิจการร้านค้า จากชุมชน สนับสนุน ซัปพอร์ตกิจกรรมน้อง ๆ ให้มีเวทีมาประลองวิชาของพวกเขา และมีการออกบูธร้านค้า เป็นสินค้าวินเทจซะส่วนมากครับ เราคุมโทนแบบนี้ มีกลุ่มรถคลาสิก กลุ่มสื้อผ้าวินเทจ กลุ่มของแฮนด์เมด”
ฟังเอ๊ะเล่าถึงตรงนี้ ร้านรวงหลาย ๆ ร้านเริ่มตั้งเสร็จ ผู้คนเริ่มคึกคัก แสงไฟราวที่แขวนติดระหว่างถนนเริ่มเปล่งแสงสว่างตัดกับสีของฟ้าที่ค่อย ๆ มืดลง ร้านส่วนใหญ่ในงานตรอกครั้งที่ 1 เป็นสินค้าวินเทจ ทั้งเสื้อมือสอง ของเก่า มีจุดโชว์รถเก่าให้เข้าไปชมได้ และมีแมสคอตเจ้านกเค้าแมวคอยเดินกึ่งเต้นสร้างสีสันแสดงอัตลักษณ์ให้กับพื้นที่แห่งนี้ นอกจากนี้ไฮไลต์สำคัญของงานตรอกครั้งที่ 1 ก็คือ การจัดแข่งขันวงดนตรีของวัยรุ่น ซึ่งภาพตรงหน้าได้แสดงให้เห็นถึงพลังงานของคนรุ่นใหม่ในชุมแพที่ออกมาแสดงความสามารถทางศิลปะกันอย่างเต็มที่ ทำให้ตรอกชุมแพที่เคยเงียบเหงาได้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง สมดังที่กลุ่มคนผู้อยู่เบื้องหลังตั้งอกตั้งใจพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาให้กลับมามีสีสันอีกครั้ง เอ๊ะบอกกับเราว่า
“ตอนนี้ชุมแพมีถนนคนเดินอยู่เส้นหนึ่งเป็นเส้นหลัก ความคาดหวังของผมก็คืออยากให้ถนนเส้นนี้เป็นถนนคนเดินอีกเส้นหนึ่ง ซึ่งรูปแบบร้านค้าจะแตกต่างจากถนนคนเดินหลักที่เรามีอยู่แล้ว ก็จะเป็นเรื่องของกลุ่มคนที่ชอบงานศิลปะ งานดนตรี ของเก่า รถเก่า ให้เขามีพื้นที่ในการทำกิจกรรม ก็คาดหวังจะให้ถนนสายนี้เป็นถนนศิลปวัฒนธรรม สำหรับคนที่ชื่นชอบความคลาสสิกของยุคสมัย และทำให้ชุมแพกลายเป็นหมุดหมายที่คนอยากเดินทางมาสัมผัส ไม่ใช่เป็นแค่เมืองทางผ่านอีกต่อไป”
จากภาพที่เห็นตรงหน้า และการได้มาสัมผัสชุมแพแบบเต็มอิ่มทุกมิติ เราจับจุดได้ว่าในวันนี้สิ่งที่เมืองชุมแพและคนชุมแพกำลังช่วยกันสร้างขึ้นก็คือ ‘สเปซที่สร้างสรรค์’ ไว้สำหรับแลกเปลี่ยนพูดคุย และทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ร่วมกันของคนในเมือง ก็เชื่อเหลือเกินว่า ความฝันของคนชุมแพที่อยากขับเคลื่อนเมืองของพวกเขาให้กลับมามีชีวิตชีวา มีสีสัน และกลายเป็นหมุดหมายการเดินทางท่องเที่ยวนั้นไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน






เรื่อง : สิทธิโชค ศรีโช ภาพ : กานต์ ตำสำสู